ทำอย่างไรให้การเรียนรู้ติดใจเหมือนโซเชียลมีเดีย: เบื้องหลังความสำเร็จของ Duolingo โดย Luis Von Ahn

เบื้องหลังความสำเร็จของ Duolingo จาก Luis Von Ahn ที่ใช้จิตวิทยาและเทคนิคโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนทั่วโลกเข้าถึงการศึกษาภาษาอย่างเท่าเทียมและน่าสนใจ

ทำอย่างไรให้การเรียนรู้ติดใจเหมือนโซเชียลมีเดีย: เบื้องหลังความสำเร็จของ Duolingo โดย Luis Von Ahn

ในยุคที่โซเชียลมีเดียและเกมมือถือกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเรา คำถามสำคัญคือ เราจะทำอย่างไรให้การเรียนรู้กลายเป็นกิจกรรมที่คนอยากกลับมาทำซ้ำๆ เหมือนกับการเล่น TikTok หรือ Instagram? Luis Von Ahn ผู้สร้างแพลตฟอร์มเรียนภาษาชื่อดังอย่าง Duolingo ได้แชร์แนวคิดและประสบการณ์ตรงในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่รวมเอาจิตวิทยาและเทคนิคการสร้างความผูกพันจากโซเชียลมีเดียมาใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงการศึกษา

แผนที่แสดงประเทศที่มีการเรียนภาษาอังกฤษ

จุดเริ่มต้นของ Duolingo: ทำไมต้องเริ่มจากการสอนภาษา?

Luis เล่าว่าเขามาจากประเทศกัวเตมาลา ซึ่งเป็นประเทศที่มีความยากจนและการเข้าถึงการศึกษายังไม่เท่าเทียมกัน เขาเห็นว่าการศึกษากลับเป็นสิ่งที่สร้างความเหลื่อมล้ำมากกว่าแก้ไข เพราะคนที่มีเงินมากกว่าจะสามารถซื้อการศึกษาที่มีคุณภาพได้ ขณะที่คนจนกลับเรียนรู้ได้เพียงพื้นฐานเท่านั้น

ด้วยประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้รับการศึกษาจากแม่ผู้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทุ่มเทอย่างหนักทำให้เขาตัดสินใจว่าอยากจะสร้างเครื่องมือที่จะช่วยให้การศึกษาเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม

เมื่อตัดสินใจจะสร้างแอปเพื่อการศึกษา เขาและทีมเริ่มตั้งคำถามว่า "เราควรเริ่มสอนอะไร?" ทั้งคู่ชอบคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ แต่สุดท้ายเลือกที่จะเริ่มจากการสอนภาษา เนื่องจากภาษามีผู้เรียนจำนวนมากทั่วโลกที่ต้องการเรียนรู้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่มีผู้เรียนมากถึง 80% ของผู้เรียนภาษาต่างประเทศทั้งหมด

การเรียนภาษาอังกฤษสามารถเปลี่ยนชีวิตผู้คนได้จริง เพราะมันช่วยเพิ่มโอกาสทางรายได้และการทำงานในหลายประเทศ ต่างจากวิชาคณิตศาสตร์หรือวิชาวิทยาศาสตร์ที่ต้องเรียนต่อเนื่องและมีความซับซ้อนกว่ามาก

Luis Von Ahn อธิบายเหตุผลในการเลือกสอนภาษา

โมเดลธุรกิจและแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษา

Duolingo ถูกออกแบบมาให้เป็นแอปฟรีที่ทุกคนสามารถเรียนได้ไม่จำกัด โดยอาศัยรายได้จากโฆษณาและสมาชิกที่จ่ายเงินเพื่อเลิกดูโฆษณา ซึ่งกลุ่มผู้จ่ายเงินส่วนใหญ่จะมาจากประเทศร่ำรวย เช่น สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ขณะที่ผู้ใช้จากประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศยากจนมักจะใช้เวอร์ชันฟรี ทำให้โมเดลนี้กลายเป็นการกระจายความมั่งคั่งในรูปแบบหนึ่ง ที่คนรวยช่วยจ่ายเพื่อให้คนจนได้เรียนฟรี

แนวคิดนี้สะท้อนภาพของการเรียนรู้ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือการสร้างระบบที่ช่วยลดช่องว่างทางสังคมผ่านการศึกษา

แผนภาพแสดงโมเดลรายได้ของ Duolingo

ความท้าทายของการเรียนผ่านมือถือ: การแข่งขันกับสิ่งล่อใจรอบตัว

แม้โทรศัพท์มือถือจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนรู้แพร่หลายได้ง่ายขึ้น แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่คือความเสพติดของแอปโซเชียลมีเดียและเกมที่ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจอย่างรุนแรง

การเรียนผ่านมือถือจึงเหมือนกับการหวังให้คนกินบร็อคโคลี่ในขณะที่ขนมหวานแสนอร่อยตั้งอยู่ข้างๆ Luis อธิบายว่าเพื่อให้คนอยากเรียน เขาจึงต้องทำให้การเรียนรู้มีเสน่ห์และน่าสนใจมากพอที่จะดึงดูดใจผู้ใช้เหมือนกับขนมหวานนั้น

สิ่งที่ Duolingo ทำคือการนำเทคนิคทางจิตวิทยาที่ใช้ใน Instagram, TikTok และเกมมือถือมาใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจและความผูกพันกับการเรียนรู้แทนที่จะเป็นแค่ความบันเทิง

Luis Von Ahn อธิบายเทคนิคการใช้จิตวิทยาใน Duolingo

เทคนิค Days Streak: สร้างนิสัยด้วยความต่อเนื่อง

หนึ่งในเทคนิคสำคัญคือการใช้ "Days Streak" หรือการนับจำนวนวันที่ผู้ใช้เรียนต่อเนื่องโดยไม่ขาด ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงเด่นชัดในแอปเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้กลับมาเรียนทุกวัน เพราะการเสีย streak จะทำให้รู้สึกเสียดายและอยากรักษาความต่อเนื่องไว้

แม้ว่าคอนเซ็ปต์นี้จะถูกวิจารณ์ว่าทำให้คนติดแอปเหมือนกับ Snapchat แต่ในบริบทของการเรียน มันกลับช่วยให้ผู้ใช้มีวินัยและเรียนอย่างสม่ำเสมอ

Duolingo มีผู้ใช้ที่มี streak ยาวกว่า 365 วันถึงสามล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการสร้างนิสัยเรียนรู้ประจำวันนั้นสำคัญมาก

ผู้ใช้ Duolingo ที่มี streak ยาวนาน

การใช้ระบบแจ้งเตือนอย่างชาญฉลาด

อีกหนึ่งเทคนิคที่ Duolingo ใช้คือระบบแจ้งเตือนที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อเลือกเวลาที่เหมาะสมในการส่งข้อความเตือนให้ผู้ใช้กลับมาเรียน โดยเวลาที่ดีที่สุดคือ 24 ชั่วโมงหลังจากการใช้งานครั้งล่าสุด เพราะพฤติกรรมของคนมักจะซ้ำเดิมในช่วงเวลานั้น

นอกจากนี้ Duolingo ยังตั้งกฎไม่ส่งแจ้งเตือนน่ารำคาญเกินไป โดยจะหยุดส่งหลังจากผู้ใช้ไม่เปิดแอปเกิน 7 วัน และยังส่งข้อความบอกล่วงหน้าว่าจะหยุดส่งแจ้งเตือน ซึ่งกลับกลายเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ใช้กลับมาเรียนอีกครั้ง

ข้อความแจ้งเตือนหยุดส่งจาก Duolingo

ความสนุกและความหมายในกิจกรรมการเรียนรู้

แม้ Duolingo จะใช้เทคนิคที่คล้ายโซเชียลมีเดีย แต่ Luis ยอมรับว่าไม่มีทางที่แอปการเรียนจะมีความน่าสนใจเท่ากับ TikTok หรือ Instagram ได้เต็มที่ เพราะความบันเทิงจากโซเชียลมีเดียมักเป็นสิ่งที่ทำให้คนติดมากกว่าการเรียนรู้

แต่สิ่งที่ทำให้การเรียนรู้มีความหมายและคุ้มค่าคือ “ความรู้สึกว่ากำลังได้อะไรกลับมา” ซึ่งต่างจากการเลื่อนดูโซเชียลมีเดียที่มักทำให้รู้สึกเสียเวลา

ดังนั้นเป้าหมายของ Duolingo คือทำให้การเรียนมีความน่าสนใจในระดับ 80-90% ของแอปบันเทิง เพื่อให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจพอที่จะกลับมาเรียนซ้ำๆ และใช้แรงจูงใจภายในเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก

เปรียบเทียบความหมายของการเรียนรู้กับการเล่นโซเชียลมีเดีย

ขยายแนวคิดสู่การเรียนรู้วิชาอื่นๆ

เมื่อถูกถามถึงการนำแนวทางนี้ไปใช้กับวิชาอื่นๆ เช่น คณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ Luis บอกว่า วิชาที่ต้องเรียนรู้ผ่านการฝึกซ้ำๆ อย่างคณิตศาสตร์ระดับประถมสามารถนำระบบนี้มาใช้ได้เหมือนกัน เพราะการเรียนรู้ส่วนใหญ่ต้องการการทำซ้ำเป็นพันๆ ครั้งเพื่อให้เกิดความชำนาญ

แต่สำหรับเนื้อหาที่ต้องอธิบายซับซ้อนมากขึ้น อาจต้องใช้วิดีโอหรือสื่อที่ช่วยอธิบายเนื้อหาได้ดี ซึ่งตัวอย่างที่ Luis ยกมาก็คือ Khan Academy ที่ทำงานได้ดีในด้านนี้

เขาฝันว่าในอนาคต เราจะสามารถเปลี่ยนเวลาที่ใช้บนหน้าจอมือถือให้กลายเป็นเวลาที่มีคุณค่าและสร้างสรรค์ ด้วยการให้ทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพไม่ว่าจะรวยหรือจน

Luis Von Ahn กล่าวถึงอนาคตการเรียนรู้ผ่านมือถือ

Quote คำพูดกระแทกใจ

"When you learn something, you get meaning from it. But when you scroll for two hours on Instagram, often afterwards you feel like you wasted your time." (เมื่อเราเรียนรู้บางสิ่ง เราจะได้รับความหมายจากมัน แต่ถ้าเลื่อน Instagram สองชั่วโมง หลังจากนั้นมักจะรู้สึกว่าทำเวลาเสียเปล่า)

การนำไปใช้ในชีวิต

เนื้อหาจาก Luis Von Ahn ช่วยให้เราเห็นภาพว่า การเรียนรู้ที่ดีไม่ได้หมายความแค่ความรู้ที่ถูกส่งผ่านอย่างเดียว แต่ต้องสร้างแรงจูงใจให้คนอยากเรียนอย่างต่อเนื่องและรู้สึกว่าการเรียนมีความหมายจริงๆ เราสามารถนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้ทั้งในชีวิตประจำวันและการออกแบบการเรียนรู้ เช่น:

  • สร้างนิสัยเรียนรู้ด้วยการตั้งเป้าหมายเล็กๆ และบันทึกความก้าวหน้าอย่างชัดเจน
  • ใช้เทคนิคการแจ้งเตือนที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นตัวเองให้กลับมาทบทวนเนื้อหา
  • เลือกใช้สื่อหรือแอปที่ทำให้การเรียนรู้สนุกและมีแรงจูงใจในตัวเอง
  • เข้าใจว่าการเรียนรู้ต้องใช้ความพยายามและความสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่ความบันเทิงชั่วคราว
  • ส่งเสริมการเรียนรู้ในชุมชนเพื่อช่วยกันสร้างระบบสนับสนุนและความรับผิดชอบร่วมกัน

บทสรุปส่งท้าย - สิ่งที่ได้เรียนรู้

  • การศึกษาในประเทศยากจนมักสร้างความเหลื่อมล้ำมากกว่าช่วยแก้ไข
  • การเรียนภาษาถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพราะมีผู้เรียนจำนวนมากและสามารถสร้างรายได้ได้ทันที
  • โมเดลธุรกิจของ Duolingo ช่วยกระจายความมั่งคั่งโดยให้คนรวยจ่ายเพื่อการศึกษาของคนจน
  • เทคนิคทางจิตวิทยาจากโซเชียลมีเดียช่วยสร้างแรงจูงใจและนิสัยเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง
  • การเรียนรู้ต้องมีความหมายและความรู้สึกคุ้มค่า เพื่อแข่งขันกับความบันเทิงในโลกดิจิทัล
  • แนวคิดนี้สามารถขยายไปสู่การเรียนวิชาต่างๆ ที่ต้องใช้การฝึกซ้ำ เช่น คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
  • อนาคตการเรียนรู้ผ่านมือถือมีโอกาสเปลี่ยนเวลาหน้าจอให้กลายเป็นเวลาที่มีคุณค่า

Great! You’ve successfully signed up.

Welcome back! You've successfully signed in.

You've successfully subscribed to Readtrospect.

Success! Check your email for magic link to sign-in.

Success! Your billing info has been updated.

Your billing was not updated.